วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กินลูกเดือยรักษาหูดได้นะ

ลูก เดือย…แก้หูดเรื้อรัง ต้านเนื้องอก
ชาวบ้านในอดีตนิยมใช้ลูกเดือยต้ม กินรักษาเนื้องอกในท้อง ปอด และหูด ในตำรายาจีน ลูกเดือยยังมีสรรพคุณในการรักษาโรคหูดที่มักจะเป็นเรื้อรัง โดยมีการทดลองในคนไข้ ๒๓ ราย ให้กินลูกเดือย ๖๐ กรัม ต้มรวมกับข้าวรับประทานวันละ ๑ ครั้ง ติดต่อกันจนกว่าจะหาย หลังจากกินลูกเดือยติดต่อกัน ๗-๗๖ วัน ได้ผลหายขาด ๑๑ ราย อาการดีขึ้น ๘ ราย ไม่ได้ผล ๖ ราย ซึ่งอาจเป็นเพราะสารจากลูกเดือยมีฤทธิ์ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังดีขึ้น หรือจากฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกก็แล้วแต่ ในท่านที่ต้องทนทุกข์กับการผ่าหูดแล้วผ่าหูดอีกไม่หายสักที ควรจะลองดูก็ไม่น่าเสียหายอะไร



ปัจจุบันจีนสกัด สารจากเมล็ดเดือยเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อรักษาและป้องกันมะเร็ง โดยยับยั้งและฆ่าเซลล์มะเร็ง กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อช่วยในการกำจัดมะเร็ง ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น ช่วยลดความปวดจากมะเร็ง ทำให้น้ำหนักที่ลดลงเพิ่มขึ้น ลดผลข้างเคียงของการฉายรังสีและเคมีบำบัด โดยไม่มีผลต่อตับ ไต หัวใจและเลือด และสามารถใช้ร่วมกันได้ดีกับการรักษาโดยการผ่าตัด

การ ศึกษาทางเภสัชวิทยา พบฤทธิ์ที่สำคัญได้แก่ ขับปัสสาวะ แก้ปวด ลดความดันโลหิต ลดน้ำตาลและลดคอเลสเตอรอลในเลือด กดการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง เพิ่มภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการตกไข่

6 วิธีเพิ่มภูมิต้านทานโรค


6 วิธีเพิ่มภูมิต้านทานโรค เพื่อรักษาสุขภาพของคุณให้แข็งแรงต่อไปนานๆ 


1. ลดความเครียด อารมณ์เครียดจะส่งผลเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ ลดลงจึงเกิดการติดเชื้อได้ง่าย จึงไม่ควรปล่อยให้ตัวเองเครียด


2. นอนหลับให้เพียงพอ การนอนไม่พอนั้นมีผลลดการสร้างเซลล์ในระบบภูมิต้านทาน เช่น แอนติบอดี โดยการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยชิคาโก ในผู้ที่นอนหลับคืนละ 7 ชม. เป็นเวลา 4 วัน แล้วให้วัคซีนไข้หวัด พบว่าคนกลุ่มนี้จะสามารถสร้างแอนติบอดี ซึ่งเป็นเซลล์ในระบบภูมิต้านทานต่อเชื้อไข้หวัดได้มากกว่าผู้ที่นอนหลับคืนละ 4 ชม. ถึง 50%

3. ดื่มน้ำเปล่ามากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว น้ำจะช่วยเพิ่มสารคัดหลั่งและความชุ่มชื้นของเยื่อบุผิวในท่อทางเดินหายใจส่วนบน ที่จะช่วยป้องกัน และดักจับฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย

4. ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะเป็นประจำ นอกจากช่วยให้กล้ามเนื้อร่างกายแข็งแรง แล้ว ยังช่วยขับของเสียผ่านทางเหงื่อ และเพิ่มปริมาณการไหลเวียนเลือดทำให้เซลล์ต่างๆ ในระบบภูมิต้านทาน เช่น แอนติบอดี และเม็ดเลือดขาว เดินทางไปทำลายสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคที่บริเวณอวัยวะต่างๆ ได้เร็วขึ้น

5. รับประทานอาหารให้ครบถ้วน เพียงพอตามหลักโภชนาการ โดยเฉพาะอาหารเสริมภูมิต้านทาน อย่างเช่น ผัก ผลไม้ ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอี วิตามินบี และแร่ธาตุบางชนิด ได้แก่ ซีลีเนียม และสังกะสี ซึ่งมีผลเพิ่มการสร้างเซลล์ต่างๆ ในระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และอี ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันเซลล์ต่างๆ ของร่างกายจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระอันเป็นตัวการก่อมะเร็งได้อีกด้วย

เบต้าแคโรทีน มีมากในผักและผลไม้ที่มีสีเหลืองหรือส้มจัด หรือผักใบเขียวจัด เช่น ผักบุ้ง ฟักทอง แครอท มะละกอ มะม่วงสุก มะเขือเทศ

วิตามินซี พบใน ผักใบเขียวต่างๆ และผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม

วิตามินอี พบใน น้ำมันพืชประเภทน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว งา ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืชต่างๆ ข้าวกล้อง จมูกข้าวสาลี ผักใบเขียว

วิตามินบี พบใน ผักใบเขียว นม เนื้อสัตว์ ถั่วต่างๆ ตับ ไข่ และธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวซ้อมมือ

ซีลีเนียม พบใน อาหารทะเล ตับ ไต เนื้อสัตว์ กระเทียม ไข่ และธัญพืช

สังกะสี พบใน เนื้อวัว นม และถั่วต่างๆ

กระเทียม เป็นเครื่องเทศที่มีฤทธิ์เสริมภูมิต้านทาน โดยสารอัลลิซิน (allicin) และซัลไฟด์ (sulfides) ในกระเทียมจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

กรดโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันที่จำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือดขาว และแอนติบอดี พบมากในปลาทะเล เช่น แซลมอน หรือทูน่า และธัญพืชบางชนิด เช่น ถั่ววอลนัท เมล็ดปอ รวมทั้งพืชผักใบเขียว

โยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์แลคโตแบคทีเรีย (lactobacteria) เช่น แลคโตบาซิลัส แอซิโดฟิลัส (Lactobacillue acidophilus) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยจะยับยั้งการเกิดจุลินทรีย์ตัวร้ายในระบบย่อยอาหาร เช่น แบคทีเรีย รา หรือยีสต์ รวมทั้งยังกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวและแอนติบอดี ให้กำจัดเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

6. หลีกเลี่ยงอาหาร หรือพฤติกรรมที่ส่งผลให้ภูมิต้านทานอ่อนแอลง เช่น เลี่ยงการกินอาหารหวานจัด ไม่ดื่มแอลกอฮอล์เกินวันละ 2 แก้ว และควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วนเกินไป
ด้วยวิธีง่ายๆ ใกล้ตัวเราเหล่านี้ เราก็จะสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขไปนานๆ



ที่มา www.teenee.com